Engagement คืออะไร สำคัญกับการทำการตลาดอย่างไรบ้าง

ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันทางการตลาดสูงเช่นปัจจุบัน แบรนด์ต่าง ๆ ไม่เพียงแค่ต้องการให้ผู้บริโภคเห็นโฆษณาหรือเนื้อหาเท่านั้น แต่ยังต้องการให้พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ในระดับที่ลึกซึ้งมากขึ้น นี่คือจุดกำเนิดของแนวคิด Engagement คือหัวใจสำคัญของการทำการตลาดออนไลน์ยุคใหม่ ที่มุ่งเน้นสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า มากกว่าการขายสินค้าหรือบริการเพียงครั้งเดียว การออกแบบแบรนด์ให้สามารถสร้าง Engagement ได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นกลยุทธ์ที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม

Engagement คืออะไร?

Engagement คือการวัดระดับการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคที่มีต่อคอนเทนต์หรือโฆษณาที่แบรนด์นำเสนอผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนช่องทาง Social Media ต่าง ๆ เอนเกจ คือยอดตัวเลขที่แสดงถึงการกระทำ (Action) ที่ผู้พบเห็นได้มีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาของแบรนด์ ทั้งในเชิงบวก เช่น การกดถูกใจ (Like) การแชร์ (Share) การแสดงความคิดเห็น (Comment) และในเชิงลบ เช่น การรายงานโพสต์ (Report) หรือการซ่อนโพสต์

Engagement จึงเป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่ช่วยให้แบรนด์ทราบว่าเนื้อหาที่นำเสนอออกไปนั้นได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายอย่างไร ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มก็จะมีวิธีการวัดและนับ Engagement ที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยรวมแล้วค่า Engagement มักจะสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของเนื้อหาและกลยุทธ์การตลาดว่าสามารถเข้าถึงและสร้างความสนใจให้กับกลุ่มเป้าหมายได้มากน้อยเพียงใด

Engagement สำคัญกับการทำการตลาดออนไลน์อย่างไร

Engagement สำคัญกับการทำการตลาดออนไลน์อย่างไร

การมี Engagement ที่ดีบนแพลตฟอร์มออนไลน์มีความสำคัญต่อการทำการตลาดหลายประการ เริ่มจากการเป็นเครื่องมือวัดประสิทธิภาพของคอนเทนต์ที่แบรนด์นำเสนอออกไป ทำให้ทราบว่ากลุ่มเป้าหมายมีความสนใจหรือตอบรับกับเนื้อหาประเภทใดมากที่สุด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์อย่างมากในการวาง Media Plan สำหรับการตลาดในอนาคต

นอกจากนี้ การสร้าง Engagement ที่ดียังช่วยเพิ่มการรับรู้และความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ เมื่อผู้บริโภคเห็นว่ามีคนจำนวนมากมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาของแบรนด์ ก็จะเกิดความรู้สึกว่าแบรนด์นั้นเป็นที่นิยมและน่าไว้วางใจ ซึ่งส่งผลดีต่อการตัดสินใจซื้อในอนาคต

อีกประการหนึ่งที่สำคัญคือ ยอดเอนเกจ คือปัจจัยที่ส่งผลต่ออัลกอริทึมของแพลตฟอร์ม Social Media โดยตรง เมื่อเนื้อหาใดมี Engagement สูง ระบบก็จะแสดงเนื้อหานั้นให้ผู้ใช้งานรายอื่น ๆ เห็นมากขึ้น ทำให้เกิดการเข้าถึงที่กว้างขึ้นโดยอัตโนมัติ และลดต้นทุนในการโฆษณาลงได้

การสร้าง Engagement ที่ดียังช่วยในการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า นำไปสู่ความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) และการบอกต่อแบบปากต่อปาก ซึ่งเป็นรูปแบบการตลาดที่ทรงพลังและไม่ต้องลงทุนเพิ่ม

Engagement บน Social Media มีกี่ประเภท

บนแพลตฟอร์ม Social Media การวัด Engagement มักจะพิจารณาจากการกระทำของผู้ใช้งานที่มีต่อเนื้อหาที่แบรนด์นำเสนอ ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบตามฟังก์ชันของแต่ละแพลตฟอร์ม แต่โดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ดังนี้

1. Share

การแชร์ (Share) เป็นรูปแบบของ Engagement ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับการขยายการรับรู้และเข้าถึงแบรนด์ เมื่อผู้ใช้งานแชร์เนื้อหาของแบรนด์ไปยังหน้า Feed ของตนเอง เพื่อนและผู้ติดตามของพวกเขาก็จะได้เห็นเนื้อหานั้นด้วย เป็นการกระจายข่าวสารในวงกว้างโดยที่แบรนด์ไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม

การแชร์มักเกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้งานรู้สึกว่าเนื้อหานั้นมีคุณค่ามากพอที่จะแบ่งปันให้คนรอบข้างได้รับรู้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาที่ให้ความบันเทิง ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หรือสร้างแรงบันดาลใจ การสร้างคอนเทนต์ที่กระตุ้นให้เกิดการแชร์จึงเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยในการทำ Creative Marketing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. Click-Throughs

Click-Throughs หรือการคลิกผ่าน เป็นการวัดว่ามีผู้ใช้งานกดคลิกเข้าไปยังลิงก์ที่แบรนด์นำเสนอมากน้อยเพียงใด ซึ่งอาจเป็นลิงก์ไปยังเว็บไซต์ หน้าสินค้า หรือบทความต่าง ๆ ของแบรนด์ การมีอัตราการคลิกผ่าน (Click-Through Rate หรือ CTR) ที่สูงแสดงให้เห็นว่าเนื้อหาที่นำเสนอสามารถดึงดูดความสนใจและกระตุ้นให้ผู้ใช้งานต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของแบรนด์

Click-Throughs เป็น Engagement ที่มีความสำคัญอย่างมากในการวัดประสิทธิภาพของโฆษณาออนไลน์ โดยเฉพาะเมื่อทำการโฆษณาแบบมีค่าใช้จ่าย เช่น การทำโฆษณาบน Facebook Ads หรือ Google Ads เพราะช่วยให้แบรนด์ทราบว่าเงินที่ลงทุนไปนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนในรูปแบบของการเข้าชมเว็บไซต์หรือหน้าสินค้าได้มากน้อยเพียงใด การทำ Affiliate Marketing ก็ใช้ประโยชน์จาก Click-Throughs เช่นกัน โดยวัดผลจากการที่ผู้ใช้คลิกผ่านลิงก์ของพาร์ทเนอร์เพื่อไปยังหน้าสินค้าของแบรนด์

3. Comment

การแสดงความคิดเห็น (Comment) เป็นรูปแบบของ Engagement ที่ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมและการสนทนาระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค เมื่อผู้ใช้งานแสดงความคิดเห็นต่อเนื้อหาของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นการถามคำถาม การแสดงความคิดเห็น หรือการให้ข้อเสนอแนะ แบรนด์ก็มีโอกาสที่จะตอบกลับและสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขาได้โดยตรง

Comment มีประโยชน์ต่อการพัฒนาสินค้าและบริการของแบรนด์ เพราะเป็นช่องทางที่ช่วยให้แบรนด์ได้รับ Feedback โดยตรงจากผู้บริโภค ทำให้ทราบว่าสินค้าหรือบริการมีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร และควรปรับปรุงในด้านใดบ้าง นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสในการแก้ไขปัญหาหรือข้อร้องเรียนของลูกค้าได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่จะลุกลามกลายเป็นวิกฤตในวงกว้าง

4. Like / Reactions

การกดถูกใจ (Like) หรือแสดงอารมณ์ (Reactions) เป็นรูปแบบของ Engagement ที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด ผู้ใช้งานสามารถแสดงความรู้สึกต่อเนื้อหาของแบรนด์ได้โดยไม่ต้องพิมพ์ข้อความหรือทำการแชร์ ซึ่งทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นบ่อยกว่ารูปแบบอื่น ๆ

ใน Facebook ปัจจุบันมีการแสดงอารมณ์หลากหลายรูปแบบ ได้แก่ Like (ถูกใจ), Love (รัก), Haha (หัวเราะ), Wow (ตกใจ), Sad (เศร้า), Angry (โกรธ) และ Care (ห่วงใย) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแสดงความรู้สึกที่หลากหลายต่อเนื้อหาของแบรนด์ได้มากขึ้น

แม้ว่า Like จะเป็น Engagement ที่มีน้ำหนักน้อยกว่าการแชร์หรือการแสดงความคิดเห็น แต่ก็มีความสำคัญในแง่ของการสร้างการรับรู้และการเข้าถึง เพราะเมื่อผู้ใช้งานกดถูกใจหรือแสดงอารมณ์ต่อเนื้อหาใด ระบบอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มก็จะแสดงเนื้อหานั้นให้เพื่อนหรือผู้ติดตามของพวกเขาเห็นมากขึ้น ทำให้เกิดการกระจายการรับรู้ในวงกว้าง

กลยุทธ์และขั้นตอนการสร้าง Engagement ให้กับแบรนด์

กลยุทธ์และขั้นตอนการสร้าง Engagement ให้กับแบรนด์

การสร้าง Engagement ให้กับแบรนด์ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ต้องอาศัยการวางแผนและกลยุทธ์ที่รัดกุม เพื่อให้สามารถสร้างการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือขั้นตอนสำคัญในการสร้าง Engagement ให้กับแบรนด์

จำลองตัวตนของลูกค้าด้วย Buyer Persona

ก่อนที่จะเริ่มสร้างคอนเทนต์หรือวางแผนการตลาด แบรนด์จำเป็นต้องเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของตนเองอย่างถ่องแท้ การสร้าง Buyer Persona หรือ Customer Persona จะช่วยให้แบรนด์สามารถจำลองและเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของลูกค้าได้ ซึ่งรวมถึงข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ (เช่น อายุ เพศ อาชีพ รายได้) พฤติกรรม ความสนใจ ความต้องการ และปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่

การมี Buyer Persona ที่ชัดเจนจะช่วยให้แบรนด์สามารถกำหนดทิศทางการตลาดและรูปแบบการสื่อสารที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะนำไปสู่การสร้าง Engagement ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะเนื้อหาและการสื่อสารจะตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ในรูปแบบต่าง ๆ

กำหนด Brand Voice ให้ชัดเจน

Brand Voice หรือน้ำเสียงและสไตล์การสื่อสารของแบรนด์ เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างความแตกต่างและจดจำได้ในตลาด Brand Voice ที่ชัดเจนและสอดคล้องกับตัวตนของแบรนด์จะช่วยให้การสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายมีความเป็นเอกลักษณ์และน่าสนใจมากขึ้น

การกำหนด Brand Voice ควรพิจารณาจากเอกลักษณ์และคุณค่าของแบรนด์ รวมถึงลักษณะของกลุ่มเป้าหมาย เช่น หากแบรนด์ต้องการสื่อสารกับกลุ่มวัยรุ่น อาจใช้น้ำเสียงที่เป็นกันเอง สนุกสนาน และใช้ภาษาที่ทันสมัย แต่หากสื่อสารกับกลุ่มนักธุรกิจ อาจต้องใช้น้ำเสียงที่เป็นมืออาชีพและน่าเชื่อถือมากขึ้น

การมี Brand Voice ที่ชัดเจนและคงเส้นคงวาจะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกคุ้นเคยและเชื่อมโยงกับแบรนด์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การสร้าง Engagement ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ผ่าน Brand Voice จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่ม Engagement ให้กับธุรกิจ

วางแผนและกำหนดรูปแบบคอนเทนต์

เมื่อเข้าใจกลุ่มเป้าหมายและกำหนด Brand Voice ที่ชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวางแผนและกำหนดรูปแบบคอนเทนต์ที่จะนำเสนอ คอนเทนต์ที่ดีควรมีความหลากหลาย น่าสนใจ และตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ การสร้างความบันเทิง หรือการแก้ไขปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่

การกำหนดรูปแบบคอนเทนต์ควรพิจารณาจากลักษณะของแพลตฟอร์มที่ใช้งานด้วย เช่น Instagram เน้นคอนเทนต์ประเภทรูปภาพและวิดีโอสั้น ๆ ที่มีความสวยงาม TikTok เน้นวิดีโอที่มีความบันเทิงและสร้างสรรค์ ในขณะที่ LinkedIn เน้นคอนเทนต์ที่ให้ข้อมูลและความรู้เชิงวิชาชีพ การใช้กลยุทธ์ Omni Channel ในการนำเสนอคอนเทนต์ที่หลากหลายช่องทางแต่มีความสอดคล้องกันก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่ม Engagement ให้กับแบรนด์

นอกจากนี้ การทดลองนำเสนอคอนเทนต์ในรูปแบบต่าง ๆ และวัดผลการตอบรับก็เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ทราบว่ารูปแบบใดที่ได้รับความนิยมและสร้าง Engagement ได้ดีที่สุด แล้วจึงนำผลลัพธ์ที่ได้มาปรับปรุงและพัฒนากลยุทธ์การนำเสนอคอนเทนต์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สร้าง Content Calendar

การสร้าง Content Calendar หรือปฏิทินการนำเสนอคอนเทนต์ เป็นขั้นตอนสำคัญในการบริหารจัดการและวางแผนการนำเสนอคอนเทนต์อย่างเป็นระบบ Content Calendar จะช่วยกำหนดว่าคอนเทนต์ประเภทใดจะถูกนำเสนอในวันและเวลาใด ทำให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่องและคงเส้นคงวา

การสร้าง Content Calendar ควรพิจารณาจากพฤติกรรมและช่วงเวลาที่กลุ่มเป้าหมายมักจะใช้งานแพลตฟอร์มนั้น ๆ เช่น หากกลุ่มเป้าหมายมักใช้ Instagram ในช่วงเย็นหลังเลิกงาน การนำเสนอคอนเทนต์ในช่วงเวลาดังกล่าวก็มีแนวโน้มที่จะสร้าง Engagement ได้ดีกว่า

นอกจากนี้ Content Calendar ยังช่วยให้แบรนด์สามารถวางแผนคอนเทนต์ให้สอดคล้องกับเทศกาลหรือเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้คอนเทนต์มีความสดใหม่และดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

วัดผลคอนเทนต์ เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนา

การวัดผลและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของคอนเทนต์เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้แบรนด์ทราบว่ากลยุทธ์การสร้าง Engagement ที่ใช้อยู่นั้นประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด และควรปรับปรุงในด้านใดบ้าง การวัดผลควรพิจารณาจากค่า Engagement Rate ซึ่งคำนวณจากจำนวน Engagement ทั้งหมดหารด้วยจำนวนการเข้าถึง (Reach) หรือการแสดงผล (Impression)

นอกจากนี้ ควรวิเคราะห์เชิงลึกว่าคอนเทนต์ประเภทใดที่สร้าง Engagement ได้ดีที่สุด ในช่วงเวลาใด และกับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มใด ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แบรนด์สามารถปรับปรุงและพัฒนากลยุทธ์การสร้าง Engagement ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ต่าง ๆ เช่น Facebook Insights, Instagram Insights หรือ Google Analytics จะช่วยให้แบรนด์สามารถเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ผลได้อย่างละเอียดและแม่นยำมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

สรุปบทความ

Engagement คือการวัดระดับการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคที่มีต่อคอนเทนต์หรือโฆษณาของแบรนด์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากต่อการทำการตลาดในยุคดิจิทัล การสร้าง Engagement ที่ดีจะช่วยเพิ่มการรับรู้ สร้างความน่าเชื่อถือ และส่งเสริมการเติบโตของแบรนด์ในระยะยาว

Writer
NMG Team

เราคือ Marketing Agency ที่มีเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดเพื่อการมีส่วนร่วมในเอเชียแปซิฟิก พร้อมทีมงานมืออาชีพ

As a creative agency, we believe in the power of imagination and innovation. We are constantly pushing the boundaries of what is possible, and strive to create work that is not only beautiful and effective, but also meaningful and impactful.

เริ่มโปรเจคร่วมกัน

contact@neumerlin.com
การใช้เว็บไซต์นี้แสดงว่าคุณตกลงที่จะจัดเก็บคุกกี้บนอุปกรณ์ของคุณเพื่อปรับปรุง และ วิเคราะห์การใช้งานของเว็บไซต์ ดู นโยบายความเป็นส่วนตัว ของเราสําหรับข้อมูลเพิ่มเติม Privacy Policy