ทำไมคนทำธุรกิจออนไลน์ถึงต้องสร้างเว็บไซต์ของตัวเอง?
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เว็บไซต์ เป็นหนึ่งในช่องทางที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมดูแล และจัดการสื่อ ข้อมูล หรือการออกแบบต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ ทำให้หลาย ๆ แบรนด์เริ่มสนใจการสร้างเว็บไซต์มากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันก็มีโปรแกรมสร้างเว็บไซต์ให้เลือกใช้งานได้อย่างหลากหลาย เพื่อเปิดโอกาสให้ธุรกิจขนาดเล็กที่มีเงินทุนไม่มากพอจะจ้างทำเว็บไซต์สามารถสร้างเว็บไซต์ของตัวเองได
แล้วโปรแกรมสร้างเว็บไซต์ที่น่าสนใจในปี 2024 ที่ NeuMerlin Group รวบรวมมาแนะนำเพื่อเป็นตัวช่วยสำหรับคนที่อยากมีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง แต่ไม่มีพื้นฐานมาก่อนจะมีความแตกต่างกันอย่างไร มีโปรแกรมใดที่น่าสนใจหรือตอบโจทย์การใช้งานของคุณบ้าง ไปดูกัน
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียให้ธุรกิจเลือกใช้ในการทำการตลาดได้อย่างหลากหลาย แต่หากลองมาพิจารณาดี ๆ จะเห็นได้ว่า แพลตฟอร์มเหล่านั้นมีความไม่มั่นคง และไม่แน่นอนให้เหล่าเจ้าของธุรกิจได้ลุ้นกันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนกฎที่มาจำกัดการเข้าถึงของผู้ชม การสื่อสารที่มีข้อจำกัดและสร้างความยุ่งยากให้แก่เจ้าของธุรกิจ ดังนั้น การสร้างเว็บไซต์ จึงเป็นทางเลือกที่ช่วยให้คุณสามารถวางแผนจัดการ และบริหารเรื่องต่าง ๆ ด้วยตัวเองได้อย่างเต็มที่
อัปเดต 12 โปรแกรมสร้างเว็บไซต์ 2024
สำหรับโปรแกรมสร้างเว็บไซต์ที่ NeuMerlin Group รวบรวมมาให้ต่อไปนี้ เป็นโปรแกรมสร้างเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานทั่วโลก และสามารถใช้งานได้ฟรี เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กหรือ SMEs ที่ยังไม่มีเงินลงทุนเท่าไหร่นัก โดยมีทั้งหมด 12 โปรแกรม ดังนี้
1. WordPress
WordPress เป็นระบบสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปที่ใช้งานง่าย และเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว เพราะ WordPress เป็นระบบที่สร้างเว็บไซต์ทั่วโลกกว่า 43.2% ซึ่งจุดเด่นของ WordPress คือ มีธีมฟรีให้เลือกใช้มากกว่าหมื่นธีม และสามารถเปลี่ยนธีมได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ยังมีปลั๊กอินที่เป็นประโยชน์ต่อเว็บไซต์ให้ใช้งานฟรีอีกกว่า 6 หมื่นตัว อีกทั้งยังเป็นโปรแกรมที่รองรับได้หลายภาษา และหากในอนาคตคุณมีแผนที่จะทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหา WordPress ก็ถือว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์เป็นอย่างมาก
โดย WordPress จะมีรูปแบบให้เลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสม 2 รูปแบบ คือ WordPress.com เป็นเว็บไซต์สำเร็จรูป ที่มีให้เลือกทั้งแบบฟรี และเสียเงิน เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากเสียเวลาในการออกแบบเว็บไซต์ และ WordPress.org เป็นรูปแบบที่ธุรกิจส่วนใหญ่นิยมใช้ เพราะมีความยืดหยุ่นในการออกแบบ และง่ายต่อการทำ SEO แต่จะต้องจดโดเมนและโฮสติ้งด้วยตัวเอง เหมาะกับคนที่มีพื้นฐานการสร้างเว็บไซต์มาก่อน
2. Wix
Wix เป็นเครื่องมือสร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปแนว Website Builder หรือเครื่องมือแก้ไขแบบลากวาง (Drag and Drop) ที่จะช่วยให้คุณสามารถปรับเลย์เอาต์ ปรับการจัดวาง เปลี่ยนสี ฟอนต์ เพิ่มลิงก์หรือปุ่มต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ Wix ยังมีเทมเพลตให้เลือกมากกว่า 800 แบบ และแต่ละแบบก็จะมีฟีเจอร์ที่ถูก Built-in มาให้ในตัวอีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับมือใหม่ หรือคนที่ไม่มีพื้นฐานในการสร้างเว็บไซต์มาก่อน
สำหรับข้อเสียของ Wix ก็คือ เมื่อมีการเผยแพร่หน้านั้น ๆ ไปแล้ว จะไม่สามารถเปลี่ยนเทมเพลตได้ ซึ่งถือว่าความยืดหยุ่นในการปรับแต่งเว็บไซต์นั้นยังไม่สูงเท่าไหร่ นอกจากนี้หากต้องการเชื่อมต่อกับ Third Party ต่าง ๆ ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ที่สำคัญคือ Wix ไม่รองรับการทำ SEO ดังนั้น หากต้องการสร้างเว็บไซต์เพื่อทำ SEO หรือเว็บไซต์สำหรับธุรกิจที่อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนเทมเพลตต่าง ๆ อยู่เสมอ Wix ก็อาจจะไม่ตอบโจทย์สักเท่าไหร่
3. Squarespace
Squarespace เป็น Website Builder ที่มีเทมเพลตให้เลือกมากมาย และสามารถปรับแต่งหน้าของเว็บไซต์ได้ตามความต้องการ ทั้งฟอนต์ สี องค์ประกอบในหน้าเพจต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมี Extensions หรือส่วนเสริมที่รองรับการใช้งานเฉพาะทางสำหรับ Commerce ให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบจัดการการเงิน การจัดการด้านบัญชี การบริหารและสต๊อกสินค้า เป็นต้น
ซึ่ง Squarespace ถือเป็นเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่สามารถสร้างได้ทั้งเว็บส่วนตัวสำหรับทำ Portfoilio เก็บผลงาน หรือเป็นเว็บไซต์ธุรกิจที่เน้นสื่อสารสินค้าด้วยภาพ หรือคอนเทนต์ แต่อาจจะไม่เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการทำเว็บไซต์จริงจัง หรือมีการขายที่ซับซ้อนเท่าไหร่นัก
4. Weebly
Weebly เป็นเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ที่เหมาะสำหรับมือใหม่ โดยจะเน้นการสร้างเว็บไซต์สำหรับขายของออนไลน์ หรือทำธุรกิจที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก เพราะคุณสามารถจดโดเมนและโฮสติ้งที่ Weebly ได้เลย นอกจากนี้ยังมีเทมเพลตให้เลือกหลากหลาย และรองรับการทำ SEO อีกด้วย แต่หากพูดถึงข้อจำกัดของ Weebly ก็คงจะเป็นการที่ Weebly หยุดพัฒนาไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ทำให้ดีไซน์ต่าง ๆ ค่อนข้างล้าสมัย และระบบต่าง ๆ ยังคงมีข้อจำกัดอยู่
5. Webflow
โปรแกรมสร้างเว็บไซต์ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน โดย Webflow เป็นเครื่องมือสำหรับการออกแบบเว็บไซต์ (Web Design) เหมาะกับเว็บดีไซเนอร์ เพราะช่วยประหยัดเวลาในการส่งแบบไปทำ Code ระบบหลังบ้านใช้ง่าย มี Off-The-Shelf Technology ที่ Plug-and-Play ได้มากมาย เช่น แปลภาษา Automation ต่าง ๆ แต่ด้วยความที่ Webflow เป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน ทำให้ยังมีคนใช้งานไม่มากนัก
6. JIMDO
JIMDO เป็นโปรแกรมสร้างเว็บไซต์ที่มีให้เลือกทั้งแบบฟรีและเสียเงิน ซึ่งแม้ว่าฟีเจอร์การใช้งานของ JIMDO จะไม่ได้โดดเด่นหรือหวือหวาเหมือนโปรแกรมอื่น ๆ แต่ก็มีจุดเด่นที่ทำให้ JIMDO น่าสนใจไม่แพ้โปรแกรมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ความรวดเร็วและความง่ายในการใช้งาน มีเครื่องมือที่ช่วยสร้างเว็บไซต์และเพิ่ม Traffic ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังรองรับการทำ SEO อีกด้วย ซึ่งในเวอร์ชันที่เสียเงินก็จะมีเครื่องมือที่เหมาะกับธุรกิจ E-Commerce ให้เลือกใช้มากมาย ถือว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก ถึงขนาดกลางสุด ๆ
7. Google site
Google Site เป็นโปรแกรมสร้างเว็บไซต์ที่สามารถใช้งานได้ฟรีจาก Google ซึ่งจุดเด่นของ Google site ก็คือ มี Template พื้นฐานให้เลือก และสามารถจัด Layout ตามความต้องการได้เหมือนโปรแกรมอื่น ๆ นอกจากนี้ยังสามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่อยู่ในเครือของ Google ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Maps, Calendar, YouTube, Docs, Slide, Sheets, Forms, Analytics เป็นต้น และหากต้องการใช้ Domain ของตัวเอง ก็สามารถจดกับ Google Domain ได้อย่างสะดวกสบาย และอีกหนึ่งฟังก์ชันที่โดดเด่นไม่แพ้กันก็คือ ผู้ใช้งานสามารถสร้างเว็บไซต์ ออกแบบ และแก้ไขร่วมกันได้แบบเรียลไทม์ อีกทั้งยังมีการเก็บประวัติการแก้ไขที่สามารถกดย้อนกลับได้ทันที
แต่หากเทียบกับโปรแกรมสร้างเว็บไซต์อื่น ๆ Google site ก็ยังถือว่าเป็นโปรแกรมที่มี Template ให้เลือกน้อย และฟีเจอร์ต่าง ๆ ภายในโปรแกรมยังเป็นเพียงฟีเจอร์พื้นฐานเท่านั้น จึงอาจจะยังไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการสร้างเว็บไซต์บริษัทหรือเว็บไซต์ธุรกิจที่มีความซับซ้อน
8. Webnode
Webnode เป็นโปรแกรมสร้างเว็บไซต์แบบลากและวางที่เหมาะกับการสร้างเว็บไซต์ e-commerce ที่มีจุดเด่นคือ สามารถใช้งานได้ง่าย มี Template ให้เลือกมากมาย และสามารถปรับ Layout ได้ตามความต้องการ อีกทั้งยังมีเครื่องมือแก้ไขแบบ WYSIWYG (What You See Is What You Get) ที่ช่วยให้คุณสามารถดูตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ของคุณก่อนเผยแพร่ได้แบบเรียลไทม์ ที่สำคัญคือ มีฟีเจอร์ให้ใช้งานครบครัน เช่น ฟีเจอร์ e-commerce บล็อก แกลลอรี่รูปภาพ เป็นต้น
แต่ข้อเสียของ Webnode ก็คือ เป็นโปรแกรมที่ยังไม่รองรับภาษาไทย ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถใช้งานได้สะดวกและคล่องตัวเท่าไหร่นัก นอกจากนี้ ยังมี Template บางรูปแบบที่ต้องเสียเงินแต่ไม่ได้มีการแจ้งไว้อย่างชัดเจน ทำให้ผู้ใช้งานอาจต้องเสียเวลาไปกับการเปลี่ยนแปลง Template ใหม่ได้
9. Strikingly
Strikingly เป็นโปรแกรมสร้างเว็บไซต์แบบลากและวาง ช่วยให้คุณสามารถสร้างและออกแบบเว็บไซต์ที่สวยงามและใช้งานง่ายได้โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม เหมาะสำหรับผู้ใช้ทุกระดับ โดยเฉพาะมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์ ซึ่งจุดเด่นของ Strikingly คือ มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ครบครัน รองรับการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ E-commerce บล็อก ฟอร์มติดต่อสำหรับรวบรวมข้อมูลลูกค้า เป็นต้น อีกทั้งยังมีแผนราคาให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่แพลนฟรีที่ใช้งานได้พื้นฐาน ไปจนถึงแพลนแบบเสียเงินที่มอบฟีเจอร์ครบครัน
แต่สำหรับผู้ที่ใช้งาน Strikingly ในแพลนฟรีก็อาจจะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เก็บข้อมูลที่มีจำกัด และฟีเจอร์การปรับแต่งบางอย่างที่มีให้เฉพาะในแพลนแบบเสียเงินเท่านั้น ดังนั้น หากต้องการสร้างเว็บไซต์สำหรับธุรกิจ หรือมีโครงสร้างเว็บไซต์ที่ซับซ้อน การใช้งานแบบแพลนฟรีก็อาจจะไม่เหมาะเท่าไหร่นัก
10. Zaapi
Zaapi เป็นโปรแกรมสร้างเว็บไซต์แบบครบวงจร มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (MSME) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย โดยจุดเด่นของ Zaapi คือความเรียบง่าย เหมาะสำหรับผู้ใช้ทุกระดับ แม้ไม่มีประสบการณ์การเขียนโปรแกรมมาก่อน ก็สามารถสร้างและออกแบบเว็บไซต์ที่สวยงามและใช้งานได้จริงได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์สำหรับการสร้างและจัดการเว็บไซต์ที่ครบครัน เช่น ระบบจัดการสินค้าคงคลัง ระบบรับชำระเงิน ระบบจัดการการจัดส่ง และระบบแชท เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม Zaapi มีตัวเลือกการปรับแต่งที่จำกัด ความเร็วเว็บไซต์อาจช้ากว่าเว็บไซต์ที่สร้างด้วยโปรแกรมอื่น ๆ และไม่มีตัวเลือกการสำรองข้อมูลอัตโนมัติ ผู้ใช้ต้องสำรองข้อมูลเว็บไซต์ด้วยตนเอง นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการสร้างเว็บไซต์มาก่อน อาจจะต้องใช้เวลาในการศึกษาทำความเข้าใจการใช้งานและฟีเจอร์บางส่วนก่อนเริ่ม
11. GoDaddy
GoDaddy เป็นผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้งและโปรแกรมสร้างและออกแบบเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยม เหมาะสำหรับผู้ใช้ทุกระดับ โดยเฉพาะมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์ เพราะสามารถใช้งานได้ง่าย มีฟีเจอร์ครบครัน มีเทมเพลตเว็บไซต์ให้เลือกหลากหลายรองรับภาษาไทย และมีทีมสนับสนุนลูกค้าที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างเว็บไซต์ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว โดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม นอกจากนี้ ในช่วง 1 ปีแรกยังสามารถใช้งานได้ฟรีโดยไม่ต้องจดทะเบียนชื่อโดเมนร
อย่างไรก็ตาม GoDaddy มีตัวเลือกการปรับแต่งเว็บไซต์ที่จำกัด หากเลือกใช้งานแพลนฟรีก็จะมีเทมเพลตให้เลือกอย่างจำกัด ที่สำคัญคือ ไม่มีเครื่องมือสำหรับสร้าง SEO ในตัว ดังนั้น หากคุณต้องการสร้างเว็บไซต์เพื่อทำ SEO เป็นหลัก GoDaddy ก็อาจจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่
12. iGetWeb
iGetWeb เป็นโปรแกรมสร้างและออกแบบเว็บไซต์ที่สามารถสร้างเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว โดยเลือกจากเทมเพลตที่หลากหลาย ซึ่งครอบคลุมธุรกิจหลายประเภท และสามารถปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ iGetWeb ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบจัดการสินค้าคงคลัง ระบบรับชำระเงิน ระบบจัดการการจัดส่ง และระบบแชท ทำให้ผู้ใช้สามารถบริหารจัดการเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังรองรับภาษาไทย ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวก หากมีปัญหาหรือข้อสงสัยใดๆ ทีมสนับสนุนลูกค้าของ iGetWeb พร้อมให้ความช่วยเหลือตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม iGetWeb ก็มีข้อจำกัดบางประการ เช่น ตัวเลือกในการปรับแต่งเว็บไซต์ที่อาจจะน้อยกว่าโปรแกรมสร้างเว็บไซต์อื่น ๆ และความเร็วของเว็บไซต์ที่อาจจะช้ากว่าเล็กน้อย นอกจากนี้ iGetWeb ยังไม่มีระบบสำรองข้อมูลอัตโนมัติ ผู้ใช้จึงต้องสำรองข้อมูลด้วยตนเอง
เคล็ดไม่ลับ สร้างเว็บไซต์ให้ปังถูกใจกลุ่มเป้าหมาย!
หลังจากที่ได้โปรแกรมสร้างเว็บไซต์ที่ถูกใจแล้ว เรามีทริคง่าย ๆ ในการสร้างเว็บไซต์ให้ถูกใจกลุ่มเป้าหมายมาแนะนำให้คุณได้รู้ก่อนเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์กัน จะมีทริคอะไรที่น่าสนใจบ้าง เราไปดูกันเลย
- สร้างเว็บไซต์ให้รองรับการแสดงผลหลาย ๆ แพลตฟอร์ม เพราะการค้นหาในปัจจุบัน ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงการค้นหาจากคอมพิวเตอร์ทั้งนั้น แต่ยังรวมถึงโทรศัพท์มือถือ และแท็ปเล็ตรุ่นต่าง ๆ ดังนั้น
- ออกแบบให้เรียบง่าย เพราะสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการจะเห็นเมื่อคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ของเราคือ ข้อมูลและรูปภาพของสินค้าหรือบริการ ดังนั้น จึงควรออกแบบให้เรียบง่าย และจัดหมวดหมู่ให้เป็นระเบียบ เพื่อไม่ให้เว็บไซต์ดูรก และซับซ้อน
- ใส่โลโก้ให้ชัดเจน เพราะโลโก้เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงอัตลักษณ์ และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ นอกจากนี้ ยังช่วยให้ลูกค้ามั่นใจมากขึ้นว่า เว็บไซต์ที่คลิกเข้ามาเป็นเว็บไซต์ของแบรนด์ที่พวกเขาสนใจจริง ๆ
- ช่องทางการติดต่อสำคัญมาก เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ และทำให้ลูกค้ามั่นใจว่า หากเกิดข้อสงสัย หรือปัญหาใด ๆ ขึ้นมา จะสามารถติดต่อแบรนด์เพื่อขอความช่วยเหลือได้
สรุปเรื่องโปรแกรมสร้างเว็บไซต์
สำหรับคนที่ยังติดภาพจำเกี่ยวกับการสร้างเว็บไซต์เดิม ๆ ที่ต้องมีความเข้าใจเรื่องการเขียนโปรแกรม ภาษา HTML หรือ CSS ก็ต้องไปลองใช้งานโปรแกรมสร้างเว็บไซต์ทั้ง 12 โปรแกรมที่ NeuMerlin Group แนะนำไปข้างต้น รับรองว่า มุมมองเกี่ยวกับการสร้างเว็บไซต์ของคุณจะเปลี่ยนไปได้อย่างแน่นอน
หากจะให้เราแนะนำโปรแกรมที่เหมาะกับการสร้างเว็บไซต์ที่เหมาะกับคุณที่สุดนั้น ต้องดูเป้าหมายการสร้างเว็บไซต์ก่อน ถ้าหากเป็นองค์กรที่ต้องการระบบจัดการเว็บไซต์ที่ครบครัน ทั้งเรื่อง Hosting และ Server รวมถึงต้องการ Plugin ต่าง ๆ ที่ช่วยต่อยอดเว็บไซต์ธุรกิจ และรองรับการทำ SEO “WordPress” จะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด แต่ถ้าต้องการเว็บไซต์ที่มีดีไซน์สวยงาม ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีความรู้ด้านเว็บไซต์มากนัก “WebFlow” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกน่าสนใจที่คุณไม่ควรมองข้าม
แต่สำหรับใครที่ไม่อยากจะเสียเวลาไปกับการเรียนรู้โครงสร้าง หรือการใช้งานโปรแกรมสร้างเว็บไซต์ต่าง ๆ ก็สามารถเข้ามาให้ NeuMerlin Group ช่วยดูแลเรื่องการสร้างและออกแบบเว็บไซต์ให้กับคุณได้เลย เพราะภายใต้ NeuMerlin Group เรามีบริษัทที่พร้อมให้บริการรับทำเว็บไซต์และการตลาดบนเว็บไซต์ โดยมี SALAD Digital เป็นบริษัทที่ดูแลเรื่องการออกแบบเว็บไซต์ให้กับคุณโดยเฉพาะ ทำให้คุณมั่นใจได้เลยว่า หากให้เราช่วยดูแลเว็บไซต์ให้กับคุณ เว็บไซต์ของคุณจะมีคุณภาพและสามารถสร้างประสบการณ์ดี ๆ ให้แก่ผู้ใช้งานได้อย่างแน่นอน
Source :
websiteplanet.com
wordpress.org
เราคือ Marketing Agency ที่มีเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดเพื่อการมีส่วนร่วมในเอเชียแปซิฟิก พร้อมทีมงานมืออาชีพ