6 เทคนิคยอดนิยมบน Social Media ที่จะช่วยให้แบรนด์ของคุณโดดเด่น

1. Why vertical video can be the future of video marketing?

โลกของการทำสื่อประเภทวิดิโอ ได้มีการกำหนดอัตราส่วนในรูปแบบแนวนอนมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทีวี ภาพยนตร์ หรือคลิปออนไลน์ เนื่องจากจอผู้ชมถูกสร้างให้เป็นแนวนอน (16:9) แต่เมื่อยุคสมาร์ทโฟนมาถึง และผู้ใช้ทั่วโลกต่าง ถือสมาร์ทโฟนในแนวตั้งตลอดเวลา เทรนด์ของการทำคลิปวิดิโอให้เหมาะกับมือถือก็เริ่มเติบโตมากขึ้น รวมถึงการมาของฟีเจอร์อย่าง Stories ที่มีใน Snapchat, Facebook, Instagram ต่างก็บังคับให้เราต้องทำคลิปออกมาเป็นแนวตั้งทั้งหมด

นอกจากนี้ วิดีโอแนวตั้งยังมีอัตราการชมจนจบสูงกว่าเมื่อเทียบกับวีดีโอแนวนอน และยิ่งถ้ามีการใส่ซับในวิดีโอด้วย ก็จะทำให้ผู้ชมสามารถดูคลิปและเข้าใจทั้งหมดได้ แม้จะไม่ได้กดเปิดเสียงเลยก็ตาม

‍

‍

2. Real time content : The key to real success?

Real Time Content คือการพยายามเอาตัวสินค้าหรือบริการเข้าไปอยู่ในกระแส หรือบทสนทนาที่คนกำลังพูดถึงในขณะนั้น หรือที่เรียกว่า “โหนกระแส” ซึ่งสามารถดึงความสนใจของคนบน Social ได้อย่างดี และทำให้คน “เปิดรับ” คอนเทนต์เหล่านี้ได้ง่ายๆ ยิ่งคอนเทนต์ไหนทำออกมาแล้วโดนใจ เรียกรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะได้ ก็ยิ่งทำให้เกิด “Brand Talk” ในสังคมได้เร็ว และขยายวงกว้างบนสื่อออนไลน์

แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการทำคอนเทนต์ลักษณะนี้คือ การคาดหวังจะให้แบรนด์เป็นที่พูดถึงมากเกินไปจนหลงลืม Brand Positioning แม้คอนเทนต์ที่ออกมาอาจเรียกกระแสแชร์กันบนออนไลน์ได้ แต่สุดท้ายแล้วอาจไม่ตอบโจทย์วัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายของแบรนด์ จนกระทบไปถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์

‍

3. Interactive content : Instagram stories polls

เครื่องมือที่ช่วยให้แบรนด์รู้จักลูกค้ามากขึ้น แถมยังได้โฆษณาขายของไปในตัว วิธีติด Poll ก็ไม่ต่างกับการติดสติ๊กเกอร์เดิมๆ ทั่วไป แต่เมื่อติด Poll ซ้อนลงไปแล้ว ก็จะมีปุ่มตัวเลือกเป็นกราฟิกสวยๆ ให้ผู้ชมได้เลือกตอบ ฝ่ายผู้โพสต์นั้นก็จะสามารถดูรายละเอียดผลโพลได้ เช่น จำนวนคนโหวตทั้งหมด จำนวนคนโหวตแต่ละตัวเลือก และดูได้ว่าใครโหวตตัวเลือกไหนบ้าง ฯลฯ

แต่ทั้งรูปและผลโพลนี้จะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง ดังนั้นหากแบรนด์จะนำผลโพลไปใช้ต่อในทางธุรกิจ ก็ต้องรีบเก็บข้อมูลออกมาทันที การใช้ Instagram Polls นี้ก็น่าจะเหมาะกับแคมเปญที่ต้องการวัดผลสนุกๆ แล้วนำไปต่อยอดทีหลัง เช่น คิดเรื่องโปรโมชั่นต่อ หรือสร้างการแข่งขันง่ายๆ ให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วม

4. Facebook LIVE : increasingly popular marketing tool

Facebook LIVE ถือเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่เหมาะกับการทำประชาสัมพันธ์ หรือเพื่อค้าขายสินค้า/บริการแบบ Real time ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากกว่าการทำคอนเท้นต์โพสต์ปกติ เนื่องจากมักมีการแจ้งเตือนบนหน้าฟีดที่เรากดติดตามไว้ว่ากำลังมีการ “ถ่ายทอดสด” อยู่ หรือแม้กระทั่งการแจ้งเตือนเมื่อเพื่อนของเรากำลังดู LIVE นั้นเข้ามาที่ Facebook ของเรา ถือเป็นจุดแข็งอย่างหนึ่งที่แบรนด์สามารถแจ้งเตือนได้ทั้งผู้ชมและเพื่อนๆ ของผู้ชมกลุ่มนั้นด้วย นอกจากนั้นยังสามารถโต้ตอบกับคนดูผ่านการคอมเมนต์ได้ทันที และเมื่อ LIVE จบ ยังกลายเป็น Video Content ได้อีกด้วย

แต่การทำ Facebook LIVE ก็ควรคำนึงถึงเวลาและสถานการณ์ที่เหมาะสม เพราะเป็นการถ่ายทอดสดเฉพาะหน้า ไม่มีการสั่งคัทตัดออก จึงควรเตรียมทำสคริปการพูด และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ดี เพราะแน่นอนว่าหากมีการ LIVE บ่อยๆ หรือนานๆ โดยไม่มีอะไรน่าสนใจ ก็อาจจะทำให้คนเลิกติดตามได้ง่ายๆ เช่นกัน

‍

5. Chatbot : the new intelligent assistant

‍

‍

ผู้ช่วยอัจริยะในยุคดิจิทัลที่ช่วยสนทนาโต้ตอบกับลูกค้าได้ราวกับมีแอดมินคอยนั่งเฝ้าตลอดเวลาแบบ 24 ชั่วโมง ด้วยหลักการทำงานที่ตรวจจับ Keyword หลัก และระบบ AI ให้ตอบคำถามตามที่บันทึกไว้ จึงสามารถรับคำสั่งและโต้ตอบกลับได้ทันที ช่วยเพิ่มยอดขายได้ ไม่ต้องให้ลูกค้ารอนานให้เสียเวลา และอาจจะช่วยลดอัตราการจ้างพนักงานได้ในอนาคต

6. Meme : funny or dangerous?

‍

Meme (มีม) คือ รูปแบบความคิด คำพูด หรือพฤติกรรมที่แพร่กระจายในกลุ่มคน โดยมีจุดประสงค์ในการถ่ายทอดผ่านการเขียน คำพูด ท่าทาง หรือปรากฏการณ์เลียนแบบอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นไปทางตลก ล้อเลียน เสียดสีสังคม ทำให้เกิดการ engage จากกลุ่มคนที่เข้าใจตรงกัน การใช้คอนเทนต์มีมกับแบรนด์มีความเสี่ยงอาจทำให้เกิดกระแสดราม่าจากสังคม หากมีมนั้นสามารถตีความไปในทางลบ ซึ่งอาจเป็นผลเสียกับแบรนด์ได้

สรุปบทความ

ใด ๆ ก็ตาม คอนเทนต์ที่มีคุณภาพ อาจไม่ใช่คอนเทนต์ที่มุ่งหวังแต่ Engagement จนเกินไป แต่ควรเป็นคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง (Organic Reach) มีการสื่อสารที่สม่ำเสมอและชัดเจน เลือกใช้เครื่องมือให้ถูกช่วง ถูกเวลา เท่านั้นเอง